GURU : Wisdom to Execution มนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้ใช้ AI ขี่อนาคต
“Wisdom to Execution” และ “AI” คงจะเป็นนิยามของ “มนุษย์ […]
“Wisdom to Execution” และ “AI” คงจะเป็นนิยามของ “มนุษย์พันธุ์ใหม่” ที่หลายองค์กรในปัจจุบันจำเป็นต้องมีและต้องเฟ้นหา เพื่อนำมาร่วมทีมช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคที่ “คนที่ใช้ AI ไม่เป็น จะถูกแทนที่ด้วย คนที่ใช้ AI ช่วยงานเป็น”
ทำไมผมถึงมีความเชื่อแบบนี้ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยเป็นผู้บริหารฝ่ายการตลาด (CMO) ให้กับธุรกิจขนาดกลางในอดีต รวมถึงปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผมพบว่าองค์กรส่วนใหญ่ที่ธุรกิจเติบโตมักจะมีปัจจัยหนึ่งที่คล้ายกันนั่นคือ “ผู้บริหารเก่งมาก”
ในขณะที่สำหรับองค์กรส่วนใหญ่ที่ธุรกิจไม่ค่อยเติบโตหรือเติบโตช้าก็มักจะมีปัจจัยหนึ่งที่คล้ายกัน นั่นก็คือ “ผู้บริหารเก่งมาก” เช่นกัน แปลกใจไหมครับว่า ทำไมถ้าตัวผู้บริหารเก่งเหมือนกันแต่ในบางองค์กรเติบโต ในขณะที่บางองค์กรกลับไม่เติบโต เราลองมาช่วยกันวิเคราะห์คิดตามดูนะครับ
AI ไม่ใช่เรื่องยากและไกลตัว ธุรกิจที่ยังไม่ใช้ AI กำลังจะถูกแทนที่ด้วยธุรกิจที่ใช้ AI เป็นอย่างแน่นอน
จริงๆ น่าจะมีหลายคำตอบที่ทำให้เกิดความแตกต่างเช่นนั้น แต่คำตอบนึงที่ผมมักจะพบเวลาไปช่วยดูแลหรือให้คำปรึกษาด้านการตลาดนั่นคือ “Gap” หรือ ช่องว่างระหว่างคำว่า “Wisdom” และ “Execution” ในแต่ละองค์กรนั้นๆ นั่นเอง
ถ้าให้ผมขยายความคำว่า Wisdom เปรียบเหมือน “ปัญญา” “แผนการ” หรือ “กลยุทธ์” ต่างๆ ซึ่งผู้บริหารในองค์กรเหล่านั้นมักจะเก่งและมีความเชี่ยวชาญมากๆ จากการเรียนรู้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ในขณะที่ “Execution” หมายความว่า “การดำเนินการ” หรือ “การลงมือทำจริงๆ” ซึ่งมักไม่ใช่ตัวผู้บริหารเนื่องจากไม่มีเวลา แต่เป็นทีมทำงานในแต่ละฝ่ายที่รับโจทย์หรือแผนการนั้นๆ มานั่นเอง คุณเริ่มสังเกตุเห็นปัญหาอะไรบ้างเหมือนที่ผมเห็นหรือยังครับ
ใช่ครับ ถ้าองค์กรไหนก็ตามที่มี “Gap” น้อย นั่นหมายความสมองและมือทำงานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีหรือทีมทำงานสามารถลงมือทำดำเนินการตามแผนหรือกลยุทธ์ที่ผู้บริหารนั้นๆ วางแผนได้จนเกิดผลลัพธ์ออกมาจริงๆ
แต่น่าเสียดายเพราะว่าองค์กรส่วนมากที่ผมพบมักจะมี “Gap” ที่กว้าง นั่นคือทีมทำงานส่วนใหญ่มักจะ “ไม่เข้าใจ” แผนกลยุทธ์ที่ผู้บริหารวางไว้อย่างแท้จริง หรือสรุปง่ายๆ คือทีมทำงานไม่สามารถตามความคิดของผู้บริหารทันนั่นเอง ดังนั้นแผนการที่วางไว้อย่างดี บางทีเสียเวลาวางแผนกลยุทธ์เป็นเดือนๆ จ้างที่ปรึกษาหลักหลายแสนมาช่วยวิเคราะห์ แต่ถ้าไม่สามารถนำแผนนั้นๆ มาให้ทีมงานใช้ได้จริง ก็เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เปรียบเสมือนคนทำงานเก่งๆ ที่พร้อมวิ่งไปข้างหน้าอยู่บนพื้นดินแต่ไม่สามารถคว้าจับก้อนเมฆแห่งความคิดและไอเดียที่ฟุ้งๆ อยู่บนอากาศนั้นได้นั่นเอง
แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีคำแนะนำสำหรับการลด “Gap” หรือช่องว่าง มาฝาก 2 ข้อ เพื่อช่วยทำให้ “Wisdom to Execution” ได้อย่างแท้จริง นั่นคือ
1.มองหาคนที่จะมาเป็น “Chief Operational Marketer” หรือ “นักปฏิบัติการการตลาด” ขององค์กร ที่ผู้บริหาร หรือ CEO จำเป็นจะต้องมีอยู่ข้างกาย ชื่อนี้คือ “บทบาทหน้าที่” ไม่ใช่ “ตำแหน่ง” ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นระดับ C-Level เท่านั้น อาจจะเป็นระดับ Director หรือ Manager ก็ได้
บทบาทนี้ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ คงจะเป็นบทบาทของ “CMO” และ “COO” มาผสมกัน นั่นคือมีความครีเอทีฟ วางกลยุทธ์การตลาดเก่ง ถนัดสมองซีกขวา เหมือน CMO ส่วนใหญ่ ในขณะที่ก็ต้องมีความถนัดด้านตรรกะ วางระบบได้ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ถนัดใช้สมองซีกซ้าย เหมือน COO นั่นเอง
Chief Operational Marketer หรือผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “COM” ซึ่งจะเป็นผู้อยู่ตรงกลางระหว่างผู้บริหารที่มีความ Wisdom เหมือนก้อนเมฆบนอากาศ และทีมทำงานที่ยืนมองรอคำสั่งเพื่อจะ Execution วิ่งไปข้างหน้าอยู่บนพื้นดิน ถ้าองค์ไหนมีคนแบบนี้อยู่ไม่ว่าจะในระดับใด องค์กรนั้นโชคดีมากๆ อยากให้รักษาและพัฒนาเขาให้โตขึ้นมาได้ในระยะยาว แต่ถ้าไม่มีหรือหาไม่ได้จริงๆ ผมแนะนำทางเลือกถัดไปครับ
2.ลองใช้เครื่องมือ “AI” (Artificial intelligence) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” โดยเฉพาะ ChatGPT เพื่อช่วยลด “Gap” เหล่านี้ครับ จากประสบการณ์ที่ผมเทรนนิ่งการใช้งาน ChatGPT เวอร์ชั่น 4 มาตลอดหลายเดือน ทั้ง Public และ Inhouse Training ผมพบว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใช้ผิดว่า “ใช้งานยาก” และ “เป็นเรื่องไกลตัว” ซึ่งผมขออนุญาตแชร์มุมมองส่วนตัว 2 ด้าน ดังนี้
นั่นคือจากที่ผมสอนระดับผู้บริหาร หรือ Executive มา ผมพบว่าเพื่อผู้บริหารเหล่านั้นเข้าใจและใช้งาน ChatGPT เป็น เขาสามารถ “กลั่นกรอง” ความต้องการในใจ และ “ตกผลึก” ความคิดในหัว พร้อม “เรียบเรียง” ออกมาเป็นแผนการดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อส่งต่อให้ทีมงานเข้าใจได้ง่ายทำงานต่อได้ทันที หรือ “Wisdom to Execution” นั่นเอง
ในขณะที่หากทีมทำงานหรือระดับ Operation ใช้งาน ChatGPT เป็น เขาสามารถทำงานที่ปกติใช้เวลาเป็นเดือนๆ เสร็จได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และมีเวลาไปเรียนรู้พัฒนาตัวเองด้านอื่นๆ เพื่อให้เติบโตทันความคิดของผู้บริหารได้อีกด้วย
มากไปกว่านั้น น้อยคนที่จะรู้ว่า AI เหล่า หากคุณเข้าใจกระบวนการทำงานของมันอย่างถูกต้อง เราสามารถ “จำลองปัญญาผู้นำลงใน AI” และส่งต่อให้ทีมทำงานใช้องค์ความรู้นี้วางแผนเบื้องต้นในมุมมองของผู้บริหารก็สามารถทำได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้บริหารมีอิสระด้านเวลามากขึ้นเพื่อไปทำงานอย่างอื่นที่สำคัญต่อธุรกิจหรือหาโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ทีมงานยังตามความคิดเราทันเพราะใช้ AI เป็นตัวช่วยตลอด 24 ชม. นั่นเองครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับเทคนิคลด “Gap” ทางความคิดระหว่างระดับบริหารและทีมงานที่ผมแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้เรื่อง “Wisdom to Execution” นั้นทำได้จริงๆ
และหากว่าองค์กรใดสามารถทำได้ทั้ง 2 ข้อ นั่นคือ มีทีมงานที่มีความสามารถเป็น “Chief Operational Marketer” และสามารถใช้ “AI” โดยเฉพาะ ChatGPT-4 อย่างคล่องแคล่ว คนนี้แหละครับจะเป็น “มนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้ใช้ AI ขี่อนาคต” นำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้จริงๆ และสุดท้ายผมเชื่อว่าในตอนนี้ “ธุรกิจที่ยังไม่ใช้ AI กำลังจะถูกแทนที่ด้วยธุรกิจที่ใช้ AI เป็นอย่างแน่นอน”
AI ไม่ใช่เรื่องยากและไกลตัวครับ ผมเอาใจช่วย ขอให้ธุรกิจของคุณเต็มไปด้วยทีมทำงาน “มนุษย์พันธุ์ใหม่” และมาเปลี่ยน “Wisdom” ให้กลายมาเป็น “Execution” กันนะครับ
เข้าร่วมคอมมูนิตี้ของเรา
Website : o2oforum
Facebook : o2oforum
Community : o2oforum
Line : @o2oforum
Subscribe : o2oforum
Tel : 0970344225, 0970347554, 0970343220, 0952156145