ENTREPRENEUR

ENTREPRENEUR : วรวุฒิ อุ่นใจ ศาสดาออนไลน์ตำนานพลิกธุรกิจล้มละลายสู่หมื่นล้าน

ให้ผม 15% แล้วคุณรับออเดอร์ปีละ 180 ล้านบาทไปเลย ราคาขา […]

ENTREPRENEUR : วรวุฒิ อุ่นใจ ศาสดาออนไลน์ตำนานพลิกธุรกิจล้มละลายสู่หมื่นล้าน

ให้ผม 15% แล้วคุณรับออเดอร์ปีละ 180 ล้านบาทไปเลย ราคาขายแล้วแต่คุณกำหนด อย่าให้เกินราคากลางเป็นใช้ได้ เป็นคำชวนที่ทำให้ผมอึ้ง เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เพิ่งผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งมาไม่นาน ทั้งปียอดขายผมตอนนั้นปีละประมาณ 200 ล้านบาทยังขาดทุนหนักอยู่เลย และมีหนี้ท่วม คิดอยู่ทั้งคืนว่าถ้ารับเราก็สบายไม่ขาดทุนแล้ว หนี้สินที่มีก็น่าจะเบาตัว ไม่ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดหาเงินใช้หนี้แบบที่เป็นอยู่

แต่ถ้ารับเราจะมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างไร ความตั้งใจที่จะสร้างบริษัทที่ดีอย่างในฝันมันหายไปไหน วันรุ่งขึ้นผมจึงโทรไปบอกกับอีกฝ่ายว่า ท่านครับขอประทานโทษด้วยครับ ผมคงทำให้ไม่ได้ครับ ท่านหารายอื่นเถอะครับ แล้วก็วางสายไป วินาทีนั้น ผมรู้สึกโล่งใจปนกับหวั่นใจ

นี่คือ แต่เป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตของ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ หรือ พี่หมูของพวกเรา

ถามตัวเองว่าเราโง่หรือเปล่า เรื่องแบบนี้โอกาสมาถึงแล้วไม่เอา ใครๆเค้าก็ทำกันทั้งนั้น แต่ก็ตอบตัวเองได้ว่า ก็ช่างเรื่องคนอื่นสิ คนอื่นทำแต่เราจะไม่ทำ ให้มันรู้ไปว่าไม่ให้ใต้โต๊ะแล้วมันจะรวยไม่ได้ หลังจากนั้น ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนัก แล้วสัก 10 ปีต่อมา ก็ทำยอดขายทะลุพันล้าน เข้าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์​ได้สำเร็จ ผมทราบมาตลอดครับ ว่าการทีผมปฎิเสธดีลนั้น มันเปลี่ยนชีวิตผมไปจริงๆ มันทำให้ผมมีพลังที่จะต่อสู้และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าผมรับดีลนั้นผมคงไม่มีวันมาถึงและทำได้อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้

สิ่งที่ “นิด้า” สอนผมและจำได้จนถึงวันนี้ คือ ผู้บริหารมีสิ่งที่ต้องทำเพียงเรื่องเดียว คือ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

O2O

ผมโชคดีที่มีโอกาสได้รู้จัก ได้ทำงาน ได้ประชุมร่วมกับมหาเศรษฐี​ของไทยหลายๆท่าน ผมพบว่าท่านเหล่านั้น มีมุมมองกับความร่ำรวยแตกต่างจากคนทั่วๆไปหลายอย่างหลายมุม ท่านเหล่านั้นไม่เคยสนใจเท่าไหร่ ว่าใครจะมีรถหรู รถสปอร์ท หรือ ของ Luxury อะไรก็ตาม เค้ามองว่าเป็นรสนิยมในการใช้เงินที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ไม่ได้มีนัยยะที่น่าสนใจตรงไหน

แต่ถ้าเป็นโครงการลงทุนของแต่ละท่าน หรือ ทิศทางการขยายกิจการของแต่ละท่าน เรื่องแบบนี้จะถกกันลึก จะคุยกันยาวแบบหาที่มาที่ไป มองให้ทะลุจนถึงเป้าหมายสุดท้ายกันเลยทีเดียว

พูดง่ายๆมหาเศรษฐีตัวจริง มองเรื่องหาเงินเป็นเรื่องใหญ่ แต่มองการใช้เงินเป็นเรื่องเล็กๆ ข้อนี้ต่างมากเลยครับ กับคนทั่วไป มักจะมองเรื่องการใช้เงินของคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ไม่มองเรื่องการหาเงินสักเท่าไหร่เลย เลยหยิบมาเล่าให้ฟังเป็นแง่คิดครับ ว่ามหาเศรษฐี​เค้ามองกันอย่างไร

และ ถ้าให้ผมเฉลยเส้นทางเริ่มต้นสู่การเป็นเศรษฐี คือ การขายให้สำเร็จนั่นเอง

คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าไม่รับฟังลูกค้า เข้าใจลูกค้า
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าคุณไม่รู้จักสินค้าของคุณดีพอ
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าลูกค้าไม่สนใจรับฟังคุณ
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าคุณประเมินลูกค้าไม่ออก ว่าคิดอย่างไรกับสินค้าคุณ
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าคุณไม่สามารถขจัดข้อโต้แย้งของลูกค้าที่มีต่อสินค้าคุณ
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าคุณไม่สามารถทำให้ลูกค้าเชื่อคุณและเชื่อในสินค้าของคุณ
คุณไม่สามารถขายได้ ถ้าคุณยังทำให้ขบวนการซื้อของลูกค้า มีอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้นระหว่างซื้อ

การปิดการขายได้สำเร็จ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้นลูกค้าจะซื้อซ้ำหรือไม่ อยู่ที่คุณภาพที่แท้จริงของสินค้าและการบริการแก้ปัญหาที่ตามมา สินค้าของเราต้องแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ยิ่งแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีอนาคตในการขายมากเท่านั้น การตัดราคา จะเกิดขึ้นเมื่อสินค้าคุณไม่มีจุดขาย ดังนั้นต้องหาจุดขายที่แข็งแรงพอจนเราไม่ต้องตัดราคา

ถ้าคุณเขียน Lists รายการความแตกต่างจากธุรกิจคุณ เทียบกับคู่แข่งในตลาดได้ไม่ถึง 10 หัวข้อนั่นแสดงว่า คุณแตกต่างน้อยเกินไป แตกต่างอย่างเดียวไม่มากพอ ต้องเป็นความแตกต่างที่ลูกค้ามองหาอยู่ด้วยถึงจะมีประโยชน์ ระลึกเสมอว่า ทุกธุรกิจที่โดดเด่นนั้นแตกต่างแน่ แต่ธุรกิจที่แตกต่างไม่แน่ว่าจะโดดเด่น

หา Product ที่ใช่ให้เจอ ธุรกิจถึงจะเริ่มต้นจาก Product ที่ใช่

คุณอาจต้องใช้ Marketing Cost ในช่วงแรกเพื่อให้คนทดลองใช้ แต่ในระยะยาวคุณภาพสินค้าจะขายตัวมันเอง ถ้าสินค้าที่ขายของคุณเหมือนกับคนอื่นๆ แบบนี้ต้องไปสร้างความแตกต่างที่การบริการ แต่ต้องหา Pain Point ที่ลูกค้าต้องการจริงๆให้เจอ การบริการของเราถึงจะมีคุณค่าในสายตาลูกค้า

แต่ถ้าไม่ต่างกับคนอื่น ทั้งสินค้าและบริการ คุณก็ต้องเข้าสู่สมรภูมิ​ราคา และตะลุมบอนอยู่ในนั้นแบบไม่ได้ผุดได้เกิด รอวันคนที่ขายถูกกว่ารายใหม่ มาตัดราคา(ซึ่งมีมาไม่หยุด)​ ระยะยาวรอดยาก ดังนั้น สินค้าและบริการที่ดี เป็นเรื่องแรกที่ต้องหาให้เจอ เป็นเรื่องแรกๆที่ต้องทำให้ดีที่สุดก่อนเลย ในการทำธุรกิจ

นักธุรกิจที่ทำงานมานานและทำงานในสเกลใหญ่จะต่างจากนักธุรกิจ​มือใหม่ ตรงความสามารถในการมองเห็น มือใหม่อาจเห็นปัญหาในรัศมี 20 เมตร มือเก่าอาจจะเห็นปัญหาในรัศมี 200 เมตร หรือไกลกว่านั้น พอคุยกันระหว่างมือใหม่กับมือเก่า จึงต้องปรับจูนกัน แต่เรื่องแบบนี้ ก็เหมือนกับเรื่องราวส่วนใหญ่ในโลก คือมีข้อยกเว้น หรือกรณีพิเศษเกิดขึ้นได้เสมอ มือใหม่อาจมองไกลได้ละเอียดกว่ามือเก่าก็เป็นได้ แต่นั่นคือ Rare Case

ประสบการณ์​มันมีความหมายคุณค่าของมันอยู่ ถ้าเห็นคุณค่าและใช้มันเป็น ธุรกิจจะก้าวหน้า ก็ต่อเมื่อเราเก่งขึ้น เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจดีขึ้น จะรู้และเข้าใจดีขึ้น ก็ต้องอ่านต้องเรียนต้องทำไปด้วยกัน จะอ่านจะเรียนและทำพร้อมกันได้ ต้องขยันและมีวินัยสูง จะขยันและมีวินัยสูง ต้องรักต้องชอบในสิ่งที่ทำจึงจะขยัน ชอบมากก็หมกมุ่นครุ่นคิดในสิ่งที่ทำมาก สุดท้ายก็จะเห็นทางออก ทั้งหมดนี้คือ อิทธิบาท 4 นั่นเอง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ท้ายที่สุดคนทำธุรกิจ ไม่มีคนเก่งหรอกครับมีแต่คนสู้ไม่ถอย เรียนรู้ไม่หยุด แพ้ก็ลุกขึ้นมาใหม่

หลายครั้งที่การซื้อโฆษณาท่าเดียวกลับไม่ใช่คำตอบที่ทำให้เราขายได้ เพราะการจะขายต้องได้เริ่มที่สินค้าหรือบริการที่โดนใจก่อน ตามมาด้วยการทำการตลาดที่ดึงดูด และ จบด้วยการโฆษณาในช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายเราสนใจ รวมถึงอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายระหว่างทาง

จากประสบการณ์ของพี่โอ วีระ เจียรนัยพานิชย์ นักการตลาดชั้นนำของประเทศไทย และ ผู้คร่ำหวอดในวงการขายออนไลน์ กล่าวว่า หากอยากจะประสบความสำเร็จต้องหาสูตรสำเร็จของตัวเองให้เจอ เพราะโลกออนไลน์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางการขาย หรือ แม้กระทั่งความต้องการในสินค้า หรือ บริการ ของเรา

การมองหาส่วนผสมในการทำการตลาดเฉพาะตัว ทั้งในโลกความจริง Offline และ โลก Online ได้เจอเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า

การขายของออนไลน์มีข้อดีคือสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก แต่ก็มีจุดอ่อนคือลูกค้าไม่สามารถสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อได้ การมีหน้าร้านออฟไลน์จึงช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ เพราะลูกค้าสามารถเห็นสินค้าจริงและสัมผัสกับประสบการณ์การบริการจริงได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้มากขึ้น

ธุรกิจที่สามารถใช้โมเดล O2O (Online to Offline) ได้นั้นมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจนั้น ๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าปลีกทั่วไป ห้างสรรพสินค้า สินค้าแฟชั่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ ธุรกิจบริการ ธุรกิจเสริมความงาม ธุรกิจสปา ธุรกิจนวด หรือ ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจทัวร์ เป็นต้น

การขายของออนไลน์และออฟไลน์ร่วมกันจะช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เพราะลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการและสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อออนไลน์หรือเข้ามาซื้อที่หน้าร้าน ย้ำว่าต้องทำร่วมกันและหาส่วนผสมที่เหมาะกับธุรกิจเราให้เจอ

เช่น แบรนด์ SME ที่เน้นสินค้าแฟชั่นอย่าง LISM ซึ่งขายดีมากบน IG แต่มีหน้าร้านเอาไว้รองรับการลองชุดของบรรดาสาวๆที่มองหาชุดเสริมความมั่นใจในการออกงาน หลายครั้งที่การขายออนไลน์ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการได้

การมีหน้าร้านให้บรรดาสาวๆได้ลองชุด กลับทำให้ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อได้เห็นตัวเองในกระจก ได้หมุนซ้ายพลิกขวาดูสัดส่วนสรีระที่โดดเด่น ได้เห็นตัวเองกับชุดจริง ก็เกิดความประทับใจ แม้ครั้งหน้าจะสั่งซื้อออนไลน์ก็เกิดการผูกใจเชื่อว่าแบรนด์นี้ไว้ใจได้

สรุปแล้ว โมเดลธุรกิจ O2O จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจขายของออนไลน์

สอบถามการเข้าร่วมงานหรือติดต่อเข้าร่วมคอมมูนิตี้ธุรกิจจาก O2O

เข้าร่วมคอมมูนิตี้ของเรา
Website : o2oforum
Facebook : o2oforum
Community : o2oforum
Line : @o2oforum
Subscribe : o2oforum
Tel : 0970344225, 0970347554, 0970343220, 0952156145

O2O
About Author

O2O

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *