SUSTAINABILITY : ESG คืออะไร ทำไม ESG ส่งผลต่อธุรกิจ การเงิน
ESG ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม […]

ESG ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาลองค์กร) ซึ่งเป็นกรอบการลงทุนและบริหารองค์กรที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานทางการเงิน แนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากการขยายมุมมองของการลงทุนที่รับผิดชอบทางสังคม (SRI/CSR) ให้ครอบคลุมประเด็นความยั่งยืนต่างๆ โดยคำว่า ESG เริ่มเป็นที่แพร่หลายในปี 2004 จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ “Who Cares Wins” ในรายงานนี้และกลุ่มกิจการการเงินของ UNEP FI (UN Environment Programme Finance Initiative) ทีมงานนำโดย Paul Clements-Hunt ได้บัญญัติคำว่า ESG เพื่อเน้นย้ำว่า “สังคม” ต้องอยู่ในแกนกลางของแนวคิดด้วย

ต่อมาแนวคิด ESG ถูกยอมรับในวงกว้างและเชื่อมโยงกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ทำให้การลงทุนที่สอดคล้องกับ ESG กลายเป็นมาตรฐานสากลที่องค์กรการเงินนำมาใช้ประเมินความมั่นคงระยะยาว
ESG ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในโลกการเงิน ตัวอย่างหนึ่งคือ UN PRI (Principles for Responsible Investment) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงนามมากกว่า 5,000 ราย ครอบคลุมสินทรัพย์กว่า 121 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ องค์กรเหล่านี้เห็นตรงกันว่า การนำปัจจัย ESG มาใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ตามกฎหมาย (fiduciary duties) ที่ผู้จัดการลงทุนต้องรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2023 มูลค่าการลงทุนภายใต้วิธีคิด ESG ทั่วโลกสูงกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ESG ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่นักลงทุนและองค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอย่างแพร่หลาย
ในการดำเนินกลยุทธ์ด้าน ESG อย่างจริงจัง สิ่งแรกที่องค์กรต้องทำ ไม่ใช่การประกาศเจตนารมณ์ หรือการจัดทำรายงาน หากแต่ต้องเริ่มต้นจากการ ประเมินความเสี่ยงด้าน ESG (ESG Risk Assessment) อย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหา “ประเด็นสาระสำคัญ” ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว
ESG Risk หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ) สังคม (เช่น สิทธิมนุษยชน ความหลากหลายแรงงาน) และธรรมาภิบาล (เช่น การทุจริต ความไม่โปร่งใสของคณะกรรมการ) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง มูลค่าทางการเงิน หรือการดำเนินงานขององค์กรในระยะยาว
การประเมิน ESG Risk อย่างรอบด้านจึงเป็น “จุดตั้งต้น” ที่จำเป็นก่อนจะกำหนด ESG Policy ที่มีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องรายงานตามมาตรฐานสากล เช่น GRI หรือ TCFD ที่ระบุชัดว่า การจัดการความยั่งยืนต้องยึดตามความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ ไม่ใช่ตามภาพลักษณ์ที่องค์กรอยากสื่อ
ESG Policy คือแนวทางหรือข้อบังคับภายในองค์กรที่กำหนดทิศทางการบริหาร ESG ตามความเสี่ยงที่ค้นพบ
หากไม่มีการประเมิน ESG Risk ที่ชัดเจน การกำหนดนโยบายจะขาดความเฉพาะเจาะจง และสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเพียง “นโยบายทั่วไปที่ฟังดูดีแต่ขาดเนื้อหา” ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสิ่งที่เรียกว่า Greenwashing
หลายองค์กรทั้งในไทยและต่างประเทศเคยเผชิญความเสียหายด้านชื่อเสียง เพราะรีบประกาศเป้าหมาย Net Zero หรือปล่อยรายงานความยั่งยืนที่ไม่มีฐานข้อมูลรองรับ หรือไม่มีการเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่แท้จริง
ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยคือ การประกาศใช้พลังงานหมุนเวียนโดยไม่มีแผนจัดซื้อหรือประเมินผลกระทบในห่วงโซ่อุปทาน หรือการลงนามในข้อตกลง ESG ระดับโลก แต่ไม่สามารถพิสูจน์ว่าดำเนินการจริงในระดับกิจกรรม
Sustainism Initiative (stnsm.org), UN PRI และ Harvard Management Company ต่างระบุว่า องค์กรที่ทำ ESG อย่างแท้จริงต้องเริ่มจาก “การเข้าใจความเสี่ยง” ก่อนจึงจะ “ออกแบบนโยบายและกลยุทธ์” ได้ตรงจุด
และนี่คือสิ่งที่แยก “ผู้นำด้าน ESG” ออกจาก “ผู้ตามกระแส”
ดังนั้น หากไม่มี ESG Risk Assessment ที่แม่นยำ การดำเนิน ESG ไม่เพียงไร้ผล แต่ยังอาจย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือในระยะยาวอีกด้วย
ในการดำเนินตามแนวคิด ESG องค์กรส่วนใหญ่จะอ้างอิงมาตรฐานและกรอบแนวทางสากลที่ได้รับการยอมรับ เช่น GRI (Global Reporting Initiative) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก GRI พัฒนาแนวทางให้บริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูล ESG ในประเด็นต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การจัดการมลพิษ สวัสดิภาพแรงงาน และธรรมภิบาลบริษัท เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) ซึ่งจัดตั้งโดย Financial Stability Board ก็ได้ออกคำแนะนำในปี 2017 ให้บริษัทรายงานเรื่องการจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นว่าข้อมูลดังกล่าวควรรวมเข้ากับกลไกกำกับดูแล (governance) กลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และตัวชี้วัดการดำเนินงาน นโยบายระดับสากลเหล่านี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ มีแนวทางปฏิบัติและวิธีรายงาน ESG ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก.
กรณีศึกษา: ผลของการดำเนินงานตาม ESG
ตัวอย่างที่ 1 : บริษัท IDI Sao Mai (เวียดนาม) – Green Bond
บริษัท IDI Sao Mai ผู้ส่งออกปลากะพงรายใหญ่ของเวียดนาม นำแนวทาง ESG มาใช้จริงจัง โดยในปีล่าสุดได้ออก กรีนบอนด์ (Green Bond) ซึ่งเป็นกรีนบอนด์ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำครั้งแรกของเอเชีย และเป็นกรีนบอนด์สกุลเงินท้องถิ่นครั้งแรกของบริษัทนอกภาคการเงินในเวียดนาม การระดมทุนครั้งนี้ได้รับการรับประกันจาก GurantCo 100% ทำให้ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ (record-low coupon) ดึงดูดนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ และเปิดตลาดทุนในประเทศให้กับบริษัท เงินที่ได้จากการออกบอนด์ถูกนำไปใช้ขยายธุรกิจตามกรอบ ESG ของบริษัท เช่น พัฒนาโรงเพาะพันธุ์ปลาและโรงแปรรูป เพิ่มกำลังการผลิต และบูรณาการห่วงโซ่มูลค่า กลยุทธ์นี้ช่วยผลักดันให้ IDI Sao Mai ขยายตัวทางธุรกิจได้ชัดเจน ในขณะเดียวกันก็รักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกัน
ตัวอย่างที่ 2 : Vinschool (เวียดนาม) – สินเชื่อผูกเป้าหมาย SDGs
ในเวียดนาม ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นผู้นำจัดสินเชื่อ สินเชื่อผูกพันเป้าหมายความยั่งยืน (sustainability-linked loan) จำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ Vinschool บริษัทสถาบันการศึกษาของกลุ่ม Vingroup สินเชื่อนี้เป็นการลงทุนภาคเอกชนในภาคการศึกษาแห่งแรกของประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายด้าน SDGs (การศึกษา) ไว้ในเงื่อนไขการกู้ยืม โดยเงินกู้จะถูกใช้เพื่อขยายระบบการศึกษาของ Vinschool รองรับนักเรียนเพิ่มอีกกว่า 20,400 คน ในกรุงฮานอย, นครโฮจิมินห์ และจังหวัดหุ่งเย็น ผู้ให้กู้ได้แก่ ADB เอง, กองทุน LEAP2, กองทุน ILX จากเนเธอร์แลนด์ และกองทุน EAIF ต่างประเทศ ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเสริมโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังขยายผลกำไรและส่วนแบ่งตลาดให้กับ Vinschool ในระยะยาวอีกด้วย
ตัวอย่างที่ 3 : AirTrunk (สิงคโปร์/ออสเตรเลีย) – สินเชื่อผูกเป้าหมายความยั่งยืน
บริษัท AirTrunk ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ (มีฐานในออสเตรเลีย) ระดมทุนผ่าน สินเชื่อผูกเป้าหมายความยั่งยืน มูลค่า 4.62 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สินเชื่อนี้กำหนดตัวชี้วัด KPI ด้านคาร์บอน การใช้พลังงาน และการใช้น้ำ เป็นตัวลดดอกเบี้ย พร้อมตั้งเป้าหมายทางสังคมเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ (gender pay equity, gender representation) รวมทั้งสนับสนุนโครงการผลกระทบทางสังคมในภูมิภาค การกู้ยืมครั้งนี้ทำให้ AirTrunk สามารถขยายวงเงินกู้เดิมจาก 2.1 พันล้านดอลลาร์ เป็น 4.62 พันล้านดอลลาร์ โดยมีธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 30 รายเข้าร่วม ซึ่งช่วยให้ AirTrunk ขยายโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบรับตลาดดิจิทัลที่เติบโตสูง ภายใต้กลยุทธ์ Net Zero ภายในปี 2030 ของบริษัท
กรณีศึกษาทั้งสามแสดงให้เห็นว่า บริษัทรายต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ดำเนินงานตามแนวทาง ESG อย่างจริงจัง สามารถดึงดูดแหล่งเงินทุนสีเขียวและสินเชื่อผูกเป้าหมายความยั่งยืน รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อใช้ขยายธุรกิจได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น การระดมทุนผ่านกรีนบอนด์และสินเชื่อ SDGs ข้างต้นช่วยให้บริษัทต่างๆ เติบโตในตลาดอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน เช่น การขยายกำลังการผลิตหรือการเข้าถึงลูกค้าใหม่

ถ้าบริษัทไม่ทำ ESG วันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่มีที่ยืนในตลาด เพราะโลกธุรกิจกำลังเคลื่อนเข้าสู่ระบบที่ “ไม่ยั่งยืน = ไม่ลงทุน” นักลงทุนสถาบันและแหล่งเงินทุนเริ่มหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่มีนโยบาย ESG ชัดเจน ขณะที่ลูกค้าระดับโลกตัดซัพพลายเออร์ที่ไม่รายงานความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชนออกจากห่วงโซ่อุปทาน การเข้าถึงสินเชื่อจะยากขึ้น ค่าเงินกู้สูงขึ้น และชื่อเสียงองค์กรจะเปราะบางต่อแรงกดดันทางสังคม ESG ไม่ใช่แค่ “ทางเลือกเพื่อภาพลักษณ์” อีกต่อไป แต่คือ “เงื่อนไขของการอยู่รอดในเศรษฐกิจใหม่” และ นี่คือสิ่งที่ธุรกิจอาจประสบหากปฏิเสธ ESG
ต้นทุนทางการเงินจะสูงขึ้น สถาบันการเงินทั่วโลกเริ่มใช้นโยบาย “ESG Risk Premium” บริษัทที่ไม่มีนโยบาย ESG ชัดเจน จะถูกมองว่าเสี่ยง และต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้แพงกว่าคู่แข่ง
ถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทาน บริษัทแม่ระดับโลก เช่น Apple, Nestlé, Unilever ประกาศชัดว่า ผู้ผลิตรายใดไม่รายงาน Scope 3 หรือไม่มีแผน Net Zero จะถูกปลดจาก supplier list
นักลงทุนไม่กล้าแตะ กองทุน ESG มีมูลค่ากว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มถอนเงินจากบริษัทที่ไม่เปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
ถูกฟ้องหรือเสียชื่อ ความล้มเหลวในการบริหาร ESG risk เช่น มลพิษ แรงงาน หรือข้อมูลรั่วไหล อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง class action หรือ boycott ทางออนไลน์ได้ภายในข้ามคืน
เสียเปรียบคู่แข่งอย่างถาวร คู่แข่งที่มี ESG rating ดีกว่าจะเข้าถึง Green Bond, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ก่อน
การไม่ทำ ESG ไม่ใช่แค่การพลาดโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนหรือสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่คือการวางอนาคตขององค์กรไว้บนความเสี่ยงเรื้อรัง ทั้งด้านการเงิน ความเชื่อมั่น และความสามารถในการแข่งขัน เพราะในระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน บริษัทที่ไม่สามารถแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม กำลังถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทาน การลงทุน และโอกาสทางการตลาดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทางถอยกลับ
สอบถามการเข้าร่วมงานหรือติดต่อเข้าร่วมคอมมูนิตี้ธุรกิจจาก O2O


เข้าร่วมคอมมูนิตี้ของเรา
Website : o2oforum
Facebook : o2oforum
Community : o2oforum
Line : @o2oforum
Subscribe : o2oforum
Tel : 0970344225, 0970347554, 0970343220